จากห้องแล็บในเมืองใหญ่ สู่ห้องเรียนเล็ก ๆ ในจังหวัดบ้านเกิด
ผมชอบวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ยังเด็กครับ ผมเป็นเด็กประเภทที่ไม่ค่อยเชื่ออะไรเพียงเพราะ “ผู้ใหญ่บอก หรือเพราะแค่คนส่วนมากเชื่อกันมาแบบนั้น” แต่จะเชื่อเพราะได้ทดลองเองมากกว่า ผมโตมาในครอบครัวที่ชอบการอ่านหนังสือ และช่วงวัยเด็กได้มีโอกาสอ่านหนังสือประวัตินักวิทยาศาสตร์ ได้เห็นคนเหล่านี้กล้าตั้งคำถามกับสิ่งที่คนทั้งโลกเชื่อกันมานาน ผมชื่นชม “คาแรกเตอร์” แบบนั้นมาก และแอบหวังลึก ๆ ว่าสักวันหนึ่ง ผมจะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้เหตุผลและหลักฐานในการตัดสินใจเหมือนพวกเขา
เมื่อถึงเวลาตัดสินใจเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ผมเลือกเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ สาขาชีววิทยา มหาวิทยาลัยขอนแก่น สอบผ่านรอบโควตา มข และตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยนี้อย่างมั่นใจ เพราะตลอดช่วงมัธยม ผมเป็นเด็กสายวิทย์-คณิตฯ ที่มีผลการเรียนดีมาตลอด คิดว่ายังไงก็เรียนไหว แต่ความมั่นใจนั้นถูกท้าทายทันทีในปีหนึ่ง เทอมแรกของชีวิตมหาวิทยาลัย ผม “เกือบต้องลาออก” เพราะเกรดแย่เกินคาด ไม่มีตัวไหนได้ A ทั้งที่ตอนมัธยมผมแทบไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ผม “ถ่อมตัวลง” อย่างมาก และบังคับให้ผมมองตัวเองใหม่ ผมเริ่มเข้าใจว่า ความเก่งในระบบโรงเรียนไม่ได้แปลว่าจะพร้อมเสมอในระบบการเรียนรู้แบบใหม่ในมหาวิทยาลัย ผมต้องหาวิธีปรับตัว ทั้งเรื่องการอ่านหนังสือ การจัดการเวลา และการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่รออาจารย์มาป้อนความรู้ให้อย่างเดียว พอขึ้นปีสอง ผมเริ่มปรับตัวได้ดีขึ้น จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นหัวหน้าชั้นปี ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างเพื่อน ๆ กับอาจารย์และคณะ บทบาทนี้ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่า “ผมไม่ได้แค่ชอบวิทยาศาสตร์ แต่ผมชอบทำงานกับคนในวงการวิทยาศาสตร์ด้วย”
ในปีสาม ผมเลือกทำโครงงานวิจัยด้าน การสังเคราะห์อนุภาคนาโนเงินด้วยวิธีทางชีวภาพ เพื่อสร้างโมเดลสำหรับการเคลือบอนุภาคนาโนด้วยหมู่ฟังก์ชันทางชีวภาพ ซึ่งสามารถต่อยอดสู่การส่งยาเข้าสู่เซลล์เป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงได้ งานวิจัยชิ้นนั้นทำให้ผมได้สัมผัส “เสน่ห์ของวิทยาศาสตร์” อย่างเต็มตัว ที่ไม่ใช่แค่ชีววิทยา แต่ต้องบูรณาการทุกศาสตร์ความรู้เพื่อมาอธิบายผลการทดลองให้ได้ ตั้งแต่การออกแบบการทดลอง การแก้ปัญหาในแล็บ ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูล ความรู้สึกตอนที่ผลทดลองเริ่มเป็นไปตามสมมติฐาน เป็นความภูมิใจที่ยืนยันกับตัวเองอีกครั้งว่า ผมเลือกไม่ผิดที่เดินสายวิทยาศาสตร์
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญไม่ได้เกิดขึ้นในห้องแล็บครับ มันเกิดขึ้นตอนปีสี่ เมื่อผมมีโอาสได้กลับบ้านที่จังหวัดหนองบัวลำภูบ่อยขึ้น ผมเริ่มเห็นช่องว่างทางการศึกษาของเด็กในจังหวัดตัวเองชัดขึ้นเรื่อย ๆ เด็กจำนวนมากเก่ง แต่ไม่มีโอกาส เด็กอีกหลายคนไม่ได้เก่งน้อยกว่าผมตอนมัธยมเลย เพียงแต่เขาไม่มีครูที่เข้าใจศักยภาพของเขา ไม่มีสื่อการสอนที่ช่วยให้เขาเห็นความสนุกของวิทยาศาสตร์ ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง “ติดหนี้ระบบการศึกษา” ที่เคยพาผมออกจากจังหวัดเล็ก ๆ แห่งนี้ และผมอยากกลับมาเป็นส่วนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน
จากความรู้สึก “ค้างคาใจ” นี้ ผมตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางตัวเอง จากสายวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ไปสู่สาย ศึกษาศาสตร์ ผมสมัครสอบชิงทุนโครงการส่งเสริมครูที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) ประเภท premium เพื่อเรียนต่อระดับปริญญาโทด้านการศึกษา การคัดเลือกไม่ได้ดูแค่ความรู้วิทยาศาสตร์ แต่ยังต้องทำแผนการสอน และมีคะแนนภาษาอังกฤษ IELTS ที่สูงพอ กระบวนการนี้ทำให้ผมต้องพิสูจน์กับตัวเองอีกครั้งว่า ผมไม่ได้อยาก “หนี” จากการเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ผมอยาก “เอาความเป็นนักวิทยาศาสตร์นี้ไปอยู่ในห้องเรียน และใช้มันพัฒนาการศึกษาไทยให้ดีขึ้นกว่าเดิมจริงๆ”
เมื่อเข้าสู่การเรียนระดับปริญญาโท ผมต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด ปรับตัวเรื่องการใช้ชีวิตเพราะต้องเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ได้ไปลองใช้ชีวิตในเมืองหลวงอยู่สองปี ต้องปรับตัวกับการสอนเด็กๆ ในเมืองหลวง ซึ่งแน่นอนว่าแตกต่างจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ที่ผมเคยเติบโตมา เพราะที่นี้เด็กทุกคนทั้งเก่งและขยันมาก และผมยังปรับตัวเข้ากับเครื่องมือวิจัยใหม่ๆ ที่ไม่ใช่บีกเกอร์ ปิเปต หรือเครื่องมือในแล็บอีกต่อไป แต่กลายเป็น “แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ และข้อมูลเชิงสถิติทางการศึกษา” ผมต้องเริ่มคิดคำถามวิจัยในมุมของการศึกษา ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์สายทดลองเหมือนแต่ก่อน โชคดีที่ผมชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ชอบการเขียนโค้ดและชอบเรียนรู้เทคโนโลยีอยู่แล้ว จึงตัดสินใจทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ Flipped Classroom ร่วมกับการเรียนรู้แบบผสมผสาน ผ่านเว็บไซต์ www.krupbank.com ซึ่งผมออกแบบและพัฒนาด้วยตัวเอง
ในโปรเจกต์นี้ ผมไม่ได้แค่สร้างเว็บไซต์ แต่ผมต้องออกแบบบทเรียน สื่อการสอน การบ้าน แบบทดสอบ และวิธีประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเป็นระบบ ผมได้เห็นกับตาว่า เด็กที่เคย “ไม่ค่อยชอบชีววิทยา” พอมีสื่อที่สามารถเรียนรู้ในเวลาของตัวเองได้ ทบทวนซ้ำได้ และในห้องเรียนใช้เวลาไปกับการลงมือคิด ลงมือทำแทนการจดตามกระดาน ผลการเรียนและทัศนคติของเด็กเปลี่ยนไปจริง ๆ สิ่งนี้ยืนยันกับผมว่า “วิทยาศาสตร์ + เทคโนโลยี + การออกแบบการสอนที่ดี” สามารถเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้ของเด็กได้มากกว่าที่เราคิด
หลังจบปริญญาโท เว็บไซต์นั้นยังเปิดใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้ และกลายเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่ผมใช้แบ่งปันความรู้ด้านชีววิทยาให้เด็กนอกห้องเรียน ปัจจุบัน ผมทำงานเป็นครูที่โรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร จังหวัดหนองบัวลำภู บรรจุมาแล้ว 8 ปี และได้รับวิทยฐานะครูชำนาญการ สิ่งที่ทำให้ผมยังรู้สึกตื่นเต้นกับอาชีพครูอยู่เสมอ คือ การได้เห็นแววตาของเด็กเวลาที่เขา “เข้าใจอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเซลล์ สิ่งมีชีวิต ระบบนิเวศ หรือแม้แต่การคิดอย่างมีเหตุผล


Comments
Post a Comment